รวมข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ แครอท และประโยชน์

แครอท
สารบัญบทความ
แครอท

“แครอท” พืชกินหัวสีส้มสดที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ด้วยเนื้อสัมผัสที่โดดเด่น และรสชาติที่หวานหอมเป็นเอกลักษณ์ จึงนิยมนำแครอทมาประกอบอาหารกันอย่างหลากหลาย แครอทเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย ทั้งอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่างเบต้า-แคโรทีน แอนโทไซยานิน วิตามินซี วิตามินเค และยังเป็นแหล่งของเส้นใยอาหาร รวมถึงคุณค่าทางสารอาหารอื่น ๆ อย่างครบครัน

แครอท คืออะไร

แครอท (Carrot) คือ พืชกินหัวชนิดหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ผักชี (Apiaceae หรือ Umbelliferae) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับผักชี ผักชีล้อม เซเลอรี ใบบัวบก พาร์สลีย์ ฯลฯ หัวแครอทมีลักษณะทรงกลมยาวเรียว มีด้วยกันหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงหัวขนาดใหญ่ และมีสีสันหลากสี เช่น แครอทสีส้ม สีเหลือง สีม่วง สีแดง และแครอทสีขาว แครอทจัดเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย มีการค้นพบหลักฐานว่าแครอทถูกใช้เพื่อการรักษาโรคโดยชาวเปอร์เซียนโบราณในช่วง 3,300 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่แครอทจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถูกปลูกเพื่อการบริโภคในช่วง 1,100 ปีก่อน

แครอท ลักษณะ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ชื่อท้องถิ่น ผักกาดหัวเหลือง หัวผักกาดแดง ผักชีหัว ผักชีหัวแดง 

ชื่อวิทยาศาสตร์ Daucus carota Linn.

แครอทเป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับผักชี (Apiaceae หรือ Umbelliferae) โดยหัวแครอทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน 

  • ส่วนราก ซึ่งเป็นกลุ่มรากแก้วที่ฝังอยู่ใต้ดิน มีลักษณะเรียวยาว ใช้เป็นที่สะสมอาหารเรียกว่า หัวแครอท มีหลายสี ทั้งสีส้ม ม่วง ขาว เหลือง และสีแดง มีขนาดความยาวได้ตั้งแต่ 5-50 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร
  • ส่วนของใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือดิน ใบเป็นใบประกอบลักษณะคล้ายขนนก มีลักษณะเป็นฝอยคล้ายกับใบของผักชีลาว 
  • ดอก มีลักษณะเป็นช่อ รูปร่างคล้ายร่ม ชั้นนอกมีสีชมพู และตรงกลางสีม่วงแดง 

ถิ่นกำเนิดของแครอท

ในช่วง 3,300 ปีก่อนคริสตกาลมีหลักฐานการใช้แครอทเพื่อการรักษาโรคในทวีปเอเชีย และคาดการณ์กันว่าเริ่มมีการปลูกแครอทสำหรับใช้เพื่อการบริโภคในช่วงประมาณ 1,100 ปีก่อน ในแถบเอเชียกลางจนถึงทางตะวันออก ได้แก่ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน และประเทศอุซเบกิสถาน ต่อมาจึงได้มีการนำแครอทเข้ามาปลูกในทวีปยุโรปและประเทศจีน ทำให้แครอทกลายเป็นผักกินหัวที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก

แครอทจัดเป็นผักหรือผลไม้?

แครอทจัดอยู่ในกลุ่มของ “ผัก” ที่เป็นพืชใต้ดินหรือพืชกินหัว (Root Vegetables) ส่วนที่ใช้สำหรับการบริโภคคือ ราก ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพืช ไม่ใช่การกินผลจึงไม่ได้จัดอยู่กลุ่มของผลไม้

แครอท ภาพ

แครอทมีทั้งหมดกี่ชนิด

ในปัจจุบันมีแครอทมากกว่า 40 สายพันธุ์ทั่วโลก แต่สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม และนำมาใช้เพื่อการบริโภคมากที่สุดมีอยู่ 5 สายพันธุ์ ได้แก่

  1. พันธุ์เบบี้แครอท (Baby carrot) หรือ ฟิงเกอร์ (Finger) เป็นแครอทที่มีมขนาดเล็กมาก หัวมีขนาดความยาวประมาณ 5-5 เซนติเมตร เนื้อกรอบร่วน รสชาติหวาน นิยมทานทั้งแบบสด ๆ และนำไปปรุงเป็นเมนูอาหาร สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานได้แก่ พันธุ์มาสเตอร์ (Master), พันธุ์อิมเพอเรเตอร์ (Imperater), พันธุ์เกรซ (Grace) และพันธุ์มินิเอกซ์เพรส (Mini Express) 
  2. พันธุ์แนนเทส (Nantes) เป็นสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่นเรื่องรูปทรงเพราะตัวหัวแครอทจะมีลักษณะกลมเรียวเท่า ๆ กันเกือบทั้งหัว ส่วนปลายของรากทู่ สีส้มสด มีความยาวประมาณ 13-18 เซนติเมตร รสชาติหวานกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ นิยมนำมารับประทานสด ๆ คั้นน้ำ หรือนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
  3. พันธุ์แชนทีเน่ (Chantenay) เป็นแครอทที่มีขนาดค่อนข้างสั้น รูปทรงกรวย ส่วนหัวบริเวณที่ติดกับใบมีขนาดใหญ่และปลายเรียวแหลม ช่วงหัวยาวประมาณ 24-26 เซนติเมตร เนื้อด้านนอกมีสีส้มสด ส่วนแกนด้านในสีส้มออกแดง นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตแครอทแช่แข็ง และแครอทกระป๋อง
  4. พันธุ์แดนเวอร์ (Danvers) เป็นสายพันธุ์แครอทที่ได้รับความนิยม เพราะมีรสชาติหวานอร่อยและสามารถเก็บรักษาได้นาน หัวมีลักษณะค่อนข้างสั้น ขนาด 15-18 เซนติเมตร ช่วงปลายมีความเรียวแหลมเล็กน้อย
  5. พันธุ์อิมเพอเรเตอร์ (Imperater) เป็นสายพันธุ์ที่ส่วนหัวของแครอทสามารถยาวได้ถึง 25-30 เซนติเมตร มีปลายเรียว ผิวเปลือกค่อนข้างเรียบ เป็นสายพันธุ์ที่มีรสชาติค่อนข้างหวาน นิยมทานแบบสด

สายพันธุ์ของแครอทที่นิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์หงส์แดง (New Kuruda) จัดอยู่ในสายพันธุ์แชนทาเน่, พันธุ์มินิเอ็กซ์เพรส (Mini Express) จัดอยู่ในสายพันธุ์เบบี้แครอท, พันธุ์ทัมบีลีนา (Thumbelina) และ พันธุ์ทัวริโน เอฟวัน (Tourino F1)

แครอท

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม

  • ให้พลังงาน 41 กิโลแคลอรี
  • น้ำ 88.3 กรัม
  • โปรตีน 0.93 กรัม
  • ไขมัน 0.24 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 9.58 กรัม
  • เส้นใยอาหาร (Fiber) 2.8 กรัม
  • น้ำตาล 4.74 กรัม
  • แคลเซียม 33 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 69 มิลลิกรัม
  • สังกะสี 0.24 มิลลิกรัม
  • ทองแดง 0.045 มิลลิกรัม
  • แมงกานีส 0.143 มิลลิกรัม
  • ซีลีเนียม 0.1 ไมโครกรัม
  • ฟลูออไรด์ 3.2 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.138 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม
  • วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 13.2 ไมโครกรัม
  • เบต้า-แคโรทีน 8,280 หน่วยสากล
  • อัลฟา-แครโรทีน 3,480 หน่วยสากล
  • ลูทีนและซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
  • ไทอามิน 0.066 มิลลิกรัม
  • ไรโบฟลาวิน 0.058 มิลลิกรัม
  • ไนอะซิน 0.983 มิลลิกรัม

แหล่งข้อมูล : USDA

ประโยชน์ของแครอท

แครอท ประโยชน์

แครอทมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบครัน โดดเด่นด้วยสารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง (Antioxidants) อย่างสารเบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene) สารฟาลคารินอล (Falcarinol) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นอีกมากมาย ซึ่งแครอทมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

  • แครอทช่วยบำรุงสายตา และถนอมสายตา เพราะในแครอทอุดมไปด้วยสารเบต้า-แคโรทีน ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารชนิดนี้ให้กลายเป็นวิตามินเอ ทั้งยังมีลูทีน (Lutein) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตาและจอประสาทตา ช่วยให้มองเห็นได้ดีในที่มืด ลดโอกาสการเกิดโรคตาบอดตอนกลางคืน โรคตาฟางและโรคต้อกระจก
  • แครอทช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็ง เพราะในแครอทมีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ แคโรทีนอยด์ แอนโทไซยานิน และสารฟาลคารินอล ที่มีส่วนช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งอาการอักเสบเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้
  •  แครอทช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ถึงแม้ในแครอทจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าผักชนิดอื่น ๆ แต่แครอทเป็นผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ ทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่มีส่วนช่วยควบคุมระดับอินซูลิน (Insulin) ในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ นอกไปจากนี้ยังมีรายงานว่าวิตามินเอและสารเบต้า-แคโรทีนที่พบได้ในแครอทมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกัน 
  • แครอทมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในแครอทมีสารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูงหลายชนิด เช่น สารเบต้า-แคโรทีน, สารฟาลคารินอล, แอนโทไซยานิน ฯลฯ ที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดไขมันอุดต้นในหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ในแครอทยังมีโพแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ซึ่งดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด 
  • แครอทช่วยลดการสะสมของไขมันในตับ และควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพราะสารเบต้า-แคโรทีนที่พบในแครอท จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์และเป็นสารที่ละลายในไขมัน การรับประทานแครอทจึงเป็นการกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาเพื่อย่อยอาหาร ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 
  • แครอทช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีในแครอทมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ด้วยการเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว และช่วยในกระบวนการทำลายเชื้อโรคภายในร่างกาย 
  • แครอทช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด วิตามินเค และสารเบต้า-แคโรทีนในแครอท มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปรับปรุงและกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น 
  • แครอทช่วยกระตุ้นผิวพรรณให้สวยงามเปล่งปลั่ง สารต้านอนุมูลอิสระในแครอทจะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว เสริมให้ผิวแข็งแรง ปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และช่วยสร้างคอลลาเจนใหม่ ๆ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง เต่งตึงและอ่อนเยาว์ 
  • แครอทช่วยลดอาการท้องผูก แครอทเป็นผักที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) จึงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และการขับถ่าย ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ถ่ายยาก

ข้อควรระวังในการรับประทานแครอท

ข้อควรระวัง
  • การรับประทานแครอทมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะวิตามินเอเป็นพิษ โดยจะทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ผมร่วง มีเลือดออกทางจมูก และอาจทำให้ร่างกายยับยั้งการทำงานของวิตามินเอ ส่งผลกระทบต่อระบบการมองเห็น ความแข็งแรงของกระดูกและผิวหนังลดลง 
  • แครอทอาจทำให้ผิวเปลี่ยนสีได้ เพราะในแครอทมีรงควัตถุ (Pigment) คือ สารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดสีแดงเข้มและสีส้มเข้ม เมื่อร่างกายได้รับประมาณเบต้าแคโรทีนมากกว่า 20 มิลลิกรัม (แครอทขนาดกลาง 1 หัว มีเบต้าแคโรทีนประมาณ 4 มิลลิกรัม) ติดต่อกันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ จะทำให้เกิดภาวะแคโรทีนเมีย (Carotenemia) ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีส้ม หรือสีเหลืองมากกว่าปกติ
  • แครอทการทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ เพราะแครอทเป็นพืชกินหัวที่มีเนื้อแข็งและมีเส้นใยอาหารสูง การกินแครอทมากเกินไปอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องอืดและแน่นท้องได้ 
  • แครอทอาจมีสารตะกั่วปนเปื้อน หากแครอทเหล่านั้นปลูกอยู่ใกล้กับโรงงาน หรือนิคมอุตสาหกรรม เมื่อมีปริมาณตะกั่วตกค้างในร่างกายเป็นจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ไขกระดูก ระบบประสาท และไต ทำให้เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ อาเจียน น้ำหนักลด และโลหิตจาง ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อแครอทจากแหล่งเพาะปลูกที่น่าเชื่อถือ และควรล้างทำความสะอาดแครอททุกครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร 
  • ควรระมัดระวังการบริโภคแครอทในเด็กเล็ก เพราะแครอทเป็นพืชกินหัวเนื้อแข็งที่เคี้ยวได้ยากสำหรับเด็กเล็ก เสี่ยงทำให้เกิดการสำลักหรืออุดตันในทางเดินหายใจได้ เพื่อความปลอดภัยของเด็กเล็กควรต้มหรือนึ่งแครอทให้มีเนื้อนิ่มและเคี้ยวง่าย หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ

ผู้ใดที่ไม่ควรทานแครอท

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้แครอท หรือแพ้ผักในวงศ์ผักชี เช่น ผักชีล้อม เซเลอรี หรือพาร์สลีย์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแครอทหรืออาหารที่มีส่วนผสมของแครอท เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้แครอทชนิดเฉียบพลัน มีอาการคันหรือระคายเคืองที่เยื่อบุตา จมูก และปาก ระบบหายใจติดขัด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจมีอาการเข้าขั้นวิกฤติและทำให้เสียชีวิตได้
  • ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรกำหนดปริมาณการรับประทานแครอทให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำแครอทที่อาจมีปริมาณน้ำตาลแฝงสูง

การทานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

แครอท

เนื่องจากแครอทเป็นผักกินหัวที่มีผนังเซลล์ค่อนข้างแข็ง ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ยาก จึงควรกินแครอทที่ผ่านการปรุงสุก เช่น แครอทอบ แครอทนึ่ง แครอทย่าง ฯลฯ เพื่อช่วยให้ร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารสำคัญได้อย่างครบถ้วน เช่น สารเบต้า-แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินเค ฯลฯ 

นอกไปจากนี้ควรรับประทานแครอทควบคู่กับอาหารกลุ่มไขมัน (Fat) เช่น น้ำมันมะกอก ชีส เนื้อปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเบต้า-แคโรทีน รวมไปถึงวิตามินเอที่ละลายในไขมันได้ดียิ่งขึ้น 

การล้างก่อนรับประทาน

ก่อนการรับประทานแครอททั้งแบบสดและการนำไปประกอบอาหาร ควรล้างทำความสะอาดแครอทเพื่อช่วยลดสารปนเปื้อนให้น้อยลง โดยสามารถใช้วิธีการล้างเหล่านี้

  • ตัดส่วนหัวและท้ายของแครอทออก จากนั้นล้างทำความสะอาดด้วยการเปิดน้ำไหลผ่าน และใช้มือถูเบา ๆ นาน 1-2 นาที จะช่วยลดปริมาณสารเคมีที่ตกค้างได้ 54-63%
  • ล้างแครอทด้วยการใช้ผงฟู ด้วยการละลายผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำปริมาตร 20 ลิตร แช่แครอททิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้มากถึง 80-95%
  • ล้างแครอทด้วยการใช้ด่างทับทิม ใช้ด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด ละลายในน้ำปริมาตร 4 ลิตร แช่แครอททิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้มากถึง 35-45%
  • ล้างแครอทด้วยการใช้น้ำส้มสายชู ใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำปริมาตร 4 ลิตร แช่แครอททิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้มากถึง 29-38%
  • ล้างแครอทด้วยการใช้เกลือเม็ดหรือเกลือป่น ใช้เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำปริมาตร 4 ลิตร แช่แครอททิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้มากถึง 27-38%

แหล่งข้อมูล : มหาวิทยาลัยมหิดล

แครอท

แครอทนำมาประกอบอาหารใดได้บ้าง

แครอทเป็นผักกินหัวที่มีเนื้อกรอบร่วน รสชาติหวานอร่อย นิยมรับประทานทั้งแบบสด หรือนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น

  • อาหารคาว เช่น ซุปแครอท แครอทอบ แครอทดอง แครอทต้ม แครอทนึ่ง น้ำสลัดแครอท สลัดแครอท ข้าวเกรียบแครอท แกงจืดแครอท ฯลฯ
  • อาหารหวาน เช่น แครอทเค้ก มัฟฟินแครอท ขนมแครอท คุกกี้แครอท ฯลฯ
  • เครื่องดื่ม เช่น น้ำแครอท สมูทตี้แครอท น้ำแครอทสกัดเย็น ฯลฯ

นอกจากนี้แครอทยังเป็นหนึ่งในอาหารทางเลือกยอดนิยมของกลุ่มผู้ที่เน้นทานผักอย่างกลุ่ม คีโต หรือ วีแกน

การเลือกซื้อแครอท

เทคนิคการเลือกซื้อแครอทเพื่อให้ได้แครอทที่มีเนื้อกรอบร่วน รสชาติหวาน รับประทานอร่อย ควรเลือกซื้อแครอทที่มีลักษณะเหล่านี้

  • แครอทเป็นแท่งเรียวสวย มีสีสดสม่ำเสมอทั่วกันทั้งหัว ผิวใสเป็นมันเงา ไม่มีจุดขุ่นขาว 
  • แครอทจะต้องมีผิวที่เรียบและตึง ไม่มีรอยแตกและรอยช้ำ 
  • บริเวณขั้วแครอทจะต้องเป็นสีเขียวจึงจะเป็นแครอทที่สดใหม่ หากบริเวณขั้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล นั่นอาจแปลได้ว่าแครอทถูกเก็บเกี่ยวมาหลายวันแล้ว
  • แครอทที่มีรสชาติหวานจะมีแกนกลางเล็ก (สังเกตขนาดของแกนได้ที่บริเวณขั้วแครอท) ส่วนแครอทที่มีแกนกลางใหญ่ จะหวานน้อยกว่า และมีเส้นใยอาหารเยอะ

การเก็บรักษาแครอท

สามารถเก็บรักษาแครอทไว้ในตู้เย็น เพื่อช่วยยืดอายุแครอทไว้ได้นานหลายเดือน ด้วยการใช้พลาสติกใสพันให้ทั่วหัวแครอท หรือนำใส่ในถุงซิปล็อกสำหรับใส่อาหาร จากนั้นนำไปเก็บไว้ในช่องเก็บผักหรือช่องแช่เย็นธรรมดา

อ่านบทความวิทยาศาสตร์สุขภาพ อื่นๆ